บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือ TK ผู้ให้บริการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์รายใหญ่ ในประเทศไทย ประเดิมเปิด ไมโครไฟแนนซ์ 3 สาขาในประเทศ เมียนมา ตามแผนขยายตลาด เพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศตามแผน
TK เริ่มบริการ ไมโครไฟแนนซ์ ใน เมียนมา ประเดิมเปิด 3 สาขาตามแผนขยายตลาด เพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศตามแผน ประเทศเมียนมามีประชากรประมาณ 53 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นประชากรในวัยทำงาน อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ย 6.8% ต่อปี แต่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ รวมถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) ยังเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบของภาครัฐ (Formal Credit Institutions) ได้ยาก เนื่องจากมีข้อจำกัดในการกู้ยืมที่เข้มงวดมาก โดยเฉพาะธนาคารและสถาบันการเงินเอกชน ทำให้ผู้บริโภค ส่วนใหญ่หันไปใช้บริการของพ่อค้าเงินกู้ในพื้นที่ (Informal Money Lenders) ซึ่งคิดดอกเบี้ยสูงมาก ดังนั้นธุรกิจ ไมโครไฟแนนซ์ จึงเข้ามาเป็นทางเลือกด้านบริการทางการเงิน ให้แก่ผู้บริโภคที่เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก โดยกลุ่มผู้บริโภคที่อยู่ห่างไกลจากเมือง ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ที่ยังมีความต้องการแหล่งเงินทุนอีกเป็นจำนวนมาก
ล่าสุด TK เปิดสาขาแรก ให้บริการทางการเงินกับลูกค้าแล้ว ภายใต้ชื่อ บริษัท มิงกะละบา ฐิติกร ไมโครไฟแนนซ์ จำกัด โดยจะให้บริการเงินกู้ แก่ลูกค้า 2 รูปแบบ คือ เงินกู้แบบกลุ่ม และ เงินกู้แบบรายบุคคล เบื้องต้นให้บริการเงินกู้ แบบกลุ่มแก่ลูกค้า รายละไม่เกิน 300,000 จ๊าด หรือประมาณ 6,000 บาท ในอัตราดอกเบี้ย 28% ต่อปี (Effective rate)
TK ได้ตั้งเป้าขยายให้ครบ 3 สาขาภายในปี 2563 จากการที่ธุรกิจ ไมโครไฟแนนซ์ ในเมียนมา มีโอกาสเติบโตอีกมากในอนาคต และผู้บริโภคมีความต้องการแหล่งเงินทุนอีกจำนวนมาก ซึ่ง TK มั่นใจว่า ภาพรวมสัดส่วนรายได้ TK จากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 20% ก่อนสิ้นปี 2562

นางสาวปฐมา พรประภา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือ TK เปิดเผยว่า เมื่อไตรมาส 2 ที่ผ่านมา TK ได้รับใบอนุญาตให้ดำเนินกิจการ ไมโครไฟแนนซ์ ในประเทศสหภาพเมียนมา ภายใต้ชื่อ บริษัท มิงกะละบา ฐิติกร ไมโครไฟแนนซ์ จำกัด (Mingalaba Thitikorn Microfinance Company Limited) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ TK โดย TK ถือหุ้น 99.9% ด้วยทุนจดทะเบียน 1,520 ล้านจ้าด หรือประมาณ 33 ล้านบาท ทั้งนี้ ได้เริ่มเปิดให้บริการ ไมโครไฟแนนซ์ ให้กับลูกค้าเมียนมาแล้ว ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทั้งนี้ บริษัทได้รับอนุญาตให้เปิดบริการ 3 สาขา ในมณฑลพะโค (Bago Region) หรือที่คนไทยรู้จักในนาม หงสาวดี ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงย่างกุ้ง ประมาณ 60 กิโลเมตร และเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ ของ บริษัท มิงกะละบา ฐิติกร ไมโครไฟแนนซ์ จำกัด อีกด้วย
บริษัท มิงกะละบา ฐิติกร ไมโครไฟแนนซ์ จำกัด จะให้บริการไมโครไฟแนนซ์ 2 รูปแบบ คือ เงินกู้แบบกลุ่ม หรือ Group Loan และเงินกู้แบบรายบุคคล หรือ Individual Loan สำหรับเงินกู้แบบกลุ่มนั้น บริษัทฯ จะเน้นให้เงินกู้กับกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ เพื่อนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ โดยสมาชิกในกลุ่ม จะมีการค้ำประกันซึ่งกันและกัน ส่วนเงินกู้เป็นรายบุคคล บริษัทฯ จะให้เงินกู้กับสมาชิกเดิม ที่เคยกู้แบบกลุ่มมาก่อน และมีประวัติการผ่อนชำระที่ดี มีวัตถุประสงค์ เพื่อนำเงินกู้ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ในการขยายธุรกิจ
“เราได้เปิดสาขาแรกที่ เมืองมอนโย (Monyo) เพื่อให้บริการทางการเงินกับลูกค้า โดยในเบื้องต้นบริษัทฯ ได้ปล่อยเงินกู้แก่ลูกค้ารายละไม่เกิน 300,000 จ๊าด ผ่อนชำระเป็นรายเดือน ระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน ในอัตราดอกเบี้ย 28% ต่อปี (Effective rate) ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าผู้หญิงที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์ และค้าขาย ทั้งนี้ คาดว่าจะเริ่มเปิดอีก 2 สาขาที่เมืองปาเดา (Padaung) และเมืองเตกอง (Thegon) ภายในปี 2563” นางสาวปฐมากล่าว
ทางด้าน นายประพล พรประภา กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือ TK กล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ว่าธุรกิจ ไมโครไฟแนนซ์ ใน เมียนมา จะมีการเติบโตในยอดกู้เฉลี่ยเกือบ 50% ต่อปี ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา แต่เมื่อเปรียบเทียบอัตราส่วนของยอดกู้ต่อ GDP ของประเทศแล้ว (Microfinance loan to GDP) ถือว่ามีอัตราส่วนที่น้อยที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ดังนั้น นับว่าธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ในประเทศเมียนมายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต
“TK ยังเดินหน้าเพื่อความเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ ควบคู่กับการเตรียมพร้อม ที่จะขยายตัวในประเทศ เมื่อตลาดอำนวยในทันที โดยขณะนี้ TK มีสาขาในต่างประเทศ ทั้งในกัมพูชา , สปป. ลาว รวมทั้งเมียนมา รวมจำนวน 10 สาขา กล่าวคือ ในกัมพูชา จำนวน 6 สาขา และอีก 6 สาขา คาดว่าธนาคารแห่งชาติกัมพูชาจะอนุมัติให้เปิดได้เร็ว ๆ นี้ ใน สปป.ลาว จำนวน 3 สาขา และในเมียนมา จำนวน 1 สาขา เรามั่นใจว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศของ TK จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 20% ภายในสิ้นปี 2562 นี้” นายประพลกล่าวทิ้งท้าย
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิง : www.ryt9.com